มีคนตามหาเสียงตอบรับของ offer ไปเที่ยวราคาโคตรคุ้มของ Anantara Vacation Club Phuket ที่มักจะเห็นข้อเสนอนี้ตามบัตรเครดิต หรือ งานอีเว้นท์ท่องเที่ยวกันแน่ๆ ว่าถ้าไปแล้ว “ได้” มากกว่า “เสีย” หรือไม่ วันนี้จะขอแชร์ให้ฟังแบบที่ตัวเองไปสัมผัสเลยว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร
กระทู้ Pantip ถามถึง Time sharing ของ Anantara vacation club
https://pantip.com/topic/37563969
https://pantip.com/topic/37703245
https://pantip.com/topic/37563969
https://pantip.com/topic/31029347และกระทู้ที่พูดถึงการนั่งฟังของ Anantara Vacation Club อื่นๆอีกมากมายทั้งบนเฟสบุ๊ค และเว็บไซต์ต่างๆ
ประเด็นที่มีพูดถึงสถานที่แห่งนี้กับโปรโมชั่นที่หลายคนไม่อยากปฏิเสธ แลกกับ 2 ชั่วโมงที่ต้องมานั่งฟังการขายสินค้าของที่นี้ จะมีอะไรบ้างลองไล่อ่านดูกันเลย
นั่งฟังอะไรบ้างตลอด 2 ชั่วโมง
จริงๆแล้วการนั่งฟังไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด อาจจะเสียเวลาในมุมมองของใครหลายคน แต่ถ้าได้ทริปยาวเช่น 4 วัน 3 คืน การเสียเวลาจุดนี้ยังพอไหวเพราะมีเวลาให้เที่ยวอยู่เยอะ แต่หากมาแค่ 3 วัน 2 คืน อาจจะมองว่าเสียโอกาสไปเที่ยวเยอะอยู่ ซึ่งในการไปครั้งนี้เราได้ซื้อวอยเชอร์ที่งานท่องเที่ยว (อีเว้นท์ที่เซนทรัล ปิ่นเกล้า) เมื่อนานมาแล้วก่อนโควิด19 ระลอก2จะเกิดขึ้นด้วย แต่ได้มาใช้บริการหลังจากนั้นร่วมปี!
- เจ้าหน้าที่ฮาร์ดเซล์ แต่ก็เป็นการทำแบบสุภาพ ของเราพบว่า เขาพูดตรงๆว่า ขอให้ใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการฟังที่เขาเสนอ ไม่ซื้อก็คือไม่ซื้อ ถือว่าเสร็จสิ้นหน้าที่ของทั้งเขาและเรา
- สิ่งที่เขานำเสนอคือ โรงแรมในเครือที่มีทั่วโลก และ มีเครือข่ายโรงแรมอีกมากมาย ที่จะสามารถพาเราไปพักผ่อนที่ไหนบนโลกก็ได้ในราคาที่ไม่แพง จริงๆ แล้วเราดูหลายอย่างโอเคเลยว่ามันไม่แพงจริงๆในบางข้อเสนอ บางโรงแรมและบางประเทศ
- การสัมภาษณ์ถึงไลฟ์สไตล์ของคู่ที่ไปนั่งฟัง โดยปกติเขาจะให้คู่รักไปกัน เพราะสาเหตุคือหากใช้บริการกันแล้วมันคือการซื้อบริการระยะยาวมากๆ
- รูปแบบการนำเสนอ จะเป็นเจ้าหน้าที่ไทย 1 คนเล่าเรื่องราวทั้งหมด และ เจ้าหน้าที่ต่างประเทศ 1 คนสำหรับปิดดีล (รายละเอียดอยู่ด้านล่าง)
- ในนี้ไม่ต้องห่วงน้ำดื่มเพียงพอ มีชา กาแฟ น้ำเปล่า น้ำอัดลม ให้เติมตลอด มีเจ้าหน้าที่มาเสิร์ฟถึงที่ ปวดฉี่ก็เดินไปฉี่ได้เลย ขาดแค่ของกินหนักๆที่ไม่มีให้นะ
รายละเอียดการขาย ยิ่งนั่งนาน Offer ยิ่งเพิ่ม
การอธิบายสินค้าของเขาค่อนข้างชัดเจนว่า “ค่อยๆปล่อยของแถม” .. มีการยื่นข้อเสนอให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเริ่มจากการไล่ราคาแหละ ด้วยความที่เราไลฟ์สไตล์ไม่ได้เป็นคนจ่ายหนัก การเสนอโปรโมชั่นจึงเป็นโปรระดับเริ่มต้นเท่านั้น
- เมื่อนั่งฟังราคาเริ่มต้นแล้ว เรามีท่าทีว่ายังไม่ไหว (แพงไป) เขาจะเสนอโปรใหม่ให้ทันทีที่ถูกลง แบบจ่ายรายเดือนสบายๆ
- นั่งนานไปเรื่อยๆ ให้ทริปนอนฟรีอีก 1 ทริป (ของเราได้ข้อเสนอคือ อยู่ต่อฟรี 2 คืน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นให้ทริป 4 วัน 3 คืนอีกรอบ จะกลับมาตอนไหนก็ได้)
- ฟรีดินเนอร์ให้เลยมื้อเย็น
ทั้งหมดนี้คือ ข้อเสนอที่เขาเสนอมาตลอดเวลาที่คุยกัน ซึ่งต้องบอกว่า คู่เราอาจจะเป็นคู่ที่ “เกือบจะจ่ายแล้ว” เพราะเราไม่ได้นั่งกัน 2 ชั่วโมง แต่ลากยาว 5 ชั่วโมงเลย ด้วยความที่เกือบสนใจจริงๆ แต่ลังเลใจมากๆ
เขาขายอะไรบ้าง
- ก่อนอื่นขอบอกว่า เราได้ข้อเสนอแบบถูกสุดของแคมเปญนี้แล้วนะ
เขาให้เราจ่ายเงินหลัก (รวม) 4 แสน++ เป็นแพคเกจที่จะได้สิทธิ์เที่ยวตามแต้มที่ได้ คือปีละ 5,000 แต้ม (แพคเกจนี้คือ แพคเกจต่ำสุดแล้วนะ เราไม่มีตัวเลขของแพคเกจที่สูงกว่านั้น ซึ่งคาดว่าแพงกว่ามากๆ เพราะว่ามีแบ่งเลเวลอยู่หลายขั้นมากๆ เราได้เป็นแพคเกจโควิด ที่ถูกสุดแล้ว - โดยการจ่ายก่อน 10% และชำระเงินที่เหลือแบบผ่อนจ่าย 72 เดือน ได้อารมณ์ผ่อนรถกันเลยทีเดียว
- การผ่อนจ่าย พอคิดเลขแล้ว 12 เดือนแรก ตกเดือนละ 2 พันกว่าบาท และ เดือนที่ 13-72 ตกเดือนละ 7 พันกว่าบาท
จริงๆ ความรู้สึกมันคือ การผ่อนรถทั่วๆไปคันนึงเลย ดูจะไม่ยากมากในการสร้างภาระให้ตัวเอง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ลังเลเกือบสมัครไป
- การผ่อนจ่าย พอคิดเลขแล้ว 12 เดือนแรก ตกเดือนละ 2 พันกว่าบาท และ เดือนที่ 13-72 ตกเดือนละ 7 พันกว่าบาท
- มีค่ารายปีอีกเกือบๆ 200 เหรียญ (ประมาณ 6 พันกว่าบาท) ที่จะสามารถลดส่วนนี้ได้ ถ้าพาเพื่อนมานั่งฟัง (ถ้าปีนึงได้ 3 คู่ก็จะเกือบไม่ต้องจ่ายส่วนนี้เลย) (ข้อมูลอาจคลาดเคลื่อนเพราะลืมส่วนนี้แล้ว)
- แต้มที่ได้รับ 5,000 แต้ม ใช้ได้แค่นี้ใน 1 ปี และมากสุดคือ เก็บไว้ 2 ปีของแต้มนั้นๆ ซึ่งส่วนนี้ทำให้รู้สึกว่า มันน้อยมาก เพราะเราจะหาโอกาสไปทริปใหญ่ๆไม่ได้เลย เพราะเราสมัครแพคเกจเล็ก แต้มมันน้อยไม่พอให้เที่ยวจุใจ
โดยทั้งหมด เพื่อสามารถไปพักผ่อนโรงแรมในเครือที่นี้ได้ (และโรงแรมที่เป็นเครือข่ายของโรงแรมได้) แต่สิ่งที่พบก็คือในลิสต์รายชื่อเหล่านี้จะถูกคัดกรองออกมาเหลือแค่ไม่กี่ที่เท่านั้น ที่จะได้ใช้บริการ เพราะว่าแพคเกจของเราอยู่เลเวลล่างสุด นี้คือข้อเสีย 1 ข้อแล้วที่เรามองว่าเป็นอุปสรรค
นั่งหาเหตุผลให้ตัวเองซื้อ 5 ชั่วโมง แต่สุดท้ายไม่ซื้อ ..
เจ้าหน้าที่คงเซ็งมากๆแหละที่ต้องคุยกัน 5 ชั่วโมงไม่ได้ไปไหน (เจ้าหน้าที่เสียเวลาขายของคนอื่น ส่วนเราเสียเวลาเที่ยว) แต่เราค่อนข้างต้องการข้อมูลให้เพียงพอที่จะจ่ายเงินครึ่งล้านใน 72 เดือน ว่ามันมีน้ำหนักพอไหม เราพบว่า
- เราพบว่า 5,000 แต้ม ไม่เพียงพอที่จะกลับมา ภูเก็ต 3 คืนได้ (หรือหมายความว่า ค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้ 1 ปี มันยังไม่พอให้เราพักที่นี้ทริปนึงเลย)
- เราพบว่า 5,000 แต้ม อาจจะเที่ยวโอ๊คแลนด์ในวิวที่น่าสนใจได้ (กดไปเจอที่นี้ เลยทำให้รู้สึกว่าเฮ้ยยยมีทริปน่าไปแล้ว) แต่มันก็น้อยเกินไปที่จะได้พักบาลี อินโดนิเซีย
- แพคเกจเล็กสุดของเรา มีเครือข่ายในโรงแรมนี้โดยตรง เพียงบางที่ในประเทศไทยของเครือนี้(ไม่ครบทั้งหมด) และไม่กี่เมืองบนโลก ซึ่งมันยากมากที่เราจะเลือกให้พอกับแต้มที่มีอยู่อย่างจำกัด
- เรามานั่งคิดว่า ถ้า 72 เดือนแรก เราหมดเงินไปเกือบ 5 แสน ทำไมเราไม่ตั้ง budget ไปเที่ยวจริงๆจังๆเลย แม้ทริปจะน้อยกว่า แต่ไม่ต้องรอ 25 ปี
- เราเลือกที่จะปฏิเสธในวินาทีที่ลังเลมากๆ และบอกเจ้าหน้าที่ไปว่า เราพอจะมีปัญหาจ่ายเงินก้อนนี้นะ แต่ว่า ให้เวลาเพียงเท่านี้เราทำไม่ได้จริงๆ
- อย่างน้อยๆ เราก็อยากไปเดินเล่นวนเวียนในที่พักสักครึ่งวันแล้วมาตอบก็ได้ แต่นั่นไม่ใช่ข้อเสนอที่เขาทำกัน
สิ่งที่เราไม่รู้หลังจากนี้ ซึ่งไม่ได้ถาม และมีข้อสงสัยก่อนมาอยู่แล้ว
- เราไว้ใจเงิน 25 ปีของเราได้อย่างไร ที่จะไม่เกิดปัญหา (เช่น ยกเลิกแคมเปญนี้โดยไม่บอกกล่าว จองไม่ได้ ไม่รับจอง ขึ้นเรทโรงแรมทำให้ใช้คะแนนยากขึ้น ฯลฯ)
- เรายังเชื่อหลักการง่ายๆว่า เงินอยู่ในมือเรา เรามีอำนาจในการตัดสินใจ แต่ถ้าเราวางเงินให้ใครแล้ว เขาจะมีอำนาจเหนือเรา
- เราไม่ได้ถามเจ้าหน้าที่ว่า มันจองยากอย่างที่โลกออนไลน์เขาคอมเพลนไหม (ก่อนหน้าอ่านกระทู้เจอว่า จองยาก จองทีไรก็เต็ม ซึ่งเราไม่ได้ถามเขา เพราะเราเชื่อว่าคำตอบมันต้องไม่ใช่อย่างที่เขาพูดกันอยู่แล้ว เพราะเขาเสนอขายของอยู่)
- เรายังพบว่ามีคนร้องเรียนที่ สคบ แล้วเรียกร้องเงินคืน ซึ่งก็ไม่รู้เช่นกันว่า ปัญหาเกิดจากอะไร
- เราสงสัยว่า ถ้าจ่ายไปแล้ว เราไม่อยากต่อสัญญา เราจะเจออะไรบ้าง
- เราคิดว่ามันคือการเพิ่มเงินหมุนเวียนให้กับบริษัทได้ไวดีมากๆ ในการบริหารจัดการเรื่องอนาคตที่ไม่แน่นอนของลูกค้า เจ๋งนะ
โดนเซล์บีบให้ซื้อ หรืออะไรที่มันแย่ๆไหม
เขียนยาวมาถึงตรงนี้ก็ยืนยันนอนยันในส่วนที่เจอเอง คือ เซล์ไม่บีบอะไรเราเลยจริงๆ ฟังให้ครบ ถ้าไม่เอาก็ลุกเลย แต่เราดันอยากนั่งต่อยาวแค่นั่นเอง
วันที่ไปนั่งฟังมีมาพร้อมๆกัน 4-5 คู่ในรอบเช้า และรอบบ่อยอีกพอๆกัน ก็เจอว่ารอบเช้าเกือบทุกคู่ออกตรงเวลา ส่วนเราเองออกช้า และอีกครอบครัวนึงซื้อแพคเกจใหญ่
หลังปฏิเสธโปรแกรมนี้เจออะไรอีกบ้าง
หลังเสร็จภารกิจ เจ้าหน้าที่สุดท้ายจะขอทำประเมินความคิดเห็นเกี่ยวกับโปรแกรมนี้ ซึ่งก็มี Last Offer ให้อีกรอบ คือ มาพักที่นี้อีกครั้ง 3 วัน 2 คืน แต่ต้องขอให้มาฟังอีกรอบ (และเขาย้ำว่าถ้ามาแล้วปฏิเสธก็คือปฏิเสธได้นั่นเอง) แต่เราก็ยังไม่ได้ตอบตกลงไป เพราะว่ากินเวลา 5 ชั่วโมงที่ลังเล ขอไม่คิดอะไรแล้ว
แต่เราก็ให้ความเห็นไปว่า จริงๆ ก็ลังเลที่จะซื้อหรือไม่ซื้อโปรแกรมนี้ แต่ว่า เวลามันน้อยเกินไปในการคิด ข้อมูลที่มีให้มันไม่มากพอ นั่นก็เป็นการจบการนั่งฟัง
สรุปท้ายสุดจริงๆ
สรุปสุดท้ายกับการนั่งฟังข้อเสนอของการซื้อโปรแกรมนี้ของเรา ก็ไม่ได้แย่มากมายในเรื่องของความรู้สึกของการขาย แต่ก็ขอเป็นอีกหนึ่งความเห็นว่าข้อเสนอนี้ไม่น่าซื้อสักเท่าไหร่ เพราะมันใช้เงินก้อนโตกับอนาคตที่ยาวถึง 25 ปีที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรในวันข้างหน้า
หากตั้งงบเที่ยวหรือพักผ่อนไว้อยู่แล้ว เลือกแบบไม่ต้องผ่อนจ่าย ไปเที่ยวเบาๆในทุกปี ตลอด 25 ปี ไม่ต้องมีบ่วงที่ติดตัวเราแบบไม่ตั้งใจ มันนานเกินไปนั่นเอง ..
ปล, หากเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายมาอ่าน ก็ต้องขออภัยที่มีรีวิวนี้ , ขออภัยที่ฟังและคุยนานแล้วลังเลมากๆ ..
ผมเชื่อว่ารีวิวนี้จะตอบโจทย์กลุ่มคนที่อยู่ในกลุ่มกำลังเงินพอมีพอใช้แต่ยังไม่เหลือมากมาย และไม่มีผลอะไรใดๆเลยกับคนที่มีกำลังซื้อมหาศาลอยู่แล้ว
และถ้าแบรนด์สินค้าและบริการใด อยากให้เราได้ใช้บริการอะไร หรือได้ลองสินค้าตัวไหน ก็ส่งมาได้นะ ^^ มันอาจจะเป็นบล็อคที่เงียบเหงา ผู้ติดตามไม่น้อย แต่ผู้เขียนรู้เทคนิคการเขียนบทความให้ติดอันดับ SEO ได้นะครับ ฉะนั้นอาจเป็นจุดแข็งที่คุณอาจสนใจเราก็เป็นได้